ผู้ป่วยมะเร็งมักมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด สูญเสียมวลกล้ามเนื้อและไขมันเนื่องจากมีการอักเสบในร่างกาย กรดไขมันโอเมกา-3 ที่พบในปลาทะเล มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ และอาจช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อในผู้ป่วยโรคมะเร็งได้
ผู้ป่วยมะเร็งทำไมจึงผอม
ภาวะผอมหนังหุ้มกระดูกในผู้ป่วยมะเร็ง (cancer cachexia) คือ การที่ผู้ป่วยมีน้ำหนักที่ลดลงมากกว่า 5% จากน้ำหนักเดิม หรือลดลดมากกว่า 2% ในผู้ที่มีดัชนีมวลกายต่ำกว่า 20 kg/m2 หรือผู้ที่มีภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย (sarcopenia) อยู่ก่อน (1) ซึ่งภาวะผอมหนังหุ้มกระดูกนี้ เกิดจากการอักเสบในร่างกาย เนื่องจากเซลล์มะเร็งมีการหลั่งสารอักเสบต่าง ๆ เช่น TNF-⍺, IL-1 และ IL-6 ซึ่งจะส่งผลทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญพลังงานเพิ่มมากขึ้น มีความอยากอาหารลดลง มีการสลายของมวลกล้ามเนื้อและมวลไขมันเพิ่มขึ้น หากผู้ป่วยได้รับพลังงานและโปรตีนไม่เพียงพอ ก็จะทำให้เกิดภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการรักษา เช่น มีโอกาสติดเชื้อสูงขึ้น รักษาตัวในโรงพยาบาลนานขึ้น และมีภาวะแทรกซ้อนจากยาเคมีบำบัดมากขึ้น (2)
กรดไขมันโอเมกา-3 คืออะไร
กรดไขมันโอเมกา-3 เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยจัดอยู่ในกลุ่มกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง (polyunsaturated fatty acid; PUFA) ประกอบไปด้วย eicosapentaenoic acid (EPA) และ docosahexaenoic acid (DHA) ซึ่งมักพบได้ในปลาทะเล นอกจากนี้ยังมีกรดไขมัน α-linolenic (ALA) ซึ่งได้ในน้ำมันจากพืช เช่น น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์, น้ำมันวอลนัท, น้ำมันคาโนลา เป็นต้น EPA และ DHA บางส่วนยังสามารถสร้างขึ้นจาก ALA ในร่างกายได้ แต่กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นได้น้อยกว่า 10% ดังนั้น จึงควรบริโภคอาหารที่เป็นแหล่งของ EPA และ DHA โดยตรง (3,4)
กรดไขมันโอเมกา-3 มีประโยชน์อย่างไร
การศึกษาพบว่า EPA และ DHA มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับสารตั้งต้นที่ทำให้เกิดการอักเสบ แต่ EPA และ DHA สามารถเข้าทำปฏิกิริยาแบบแข่งขัน จึงทำให้เกิดการสร้างสารต้านการอักเสบแทน เช่น prostaglandin E3, thromboxane B3 และ leukotriene B5 ดังนั้น EPA และ DHA ที่พบในน้ำมันปลาจึงสามารถช่วยลดภาวะการอักเสบในร่างกายได้ (5,6)
ปัจจุบันมีการนำกรดไขมันโอเมกา-3 มาใช้ประโยชน์กับผู้ป่วยมะเร็ง ดังนี้
- ผู้ป่วยมะเร็งที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะทุพโภชนาการ และได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด พบว่ากรดไขมันโอเมกา-3 สามารถช่วยเพิ่มความอยากอาหาร ทำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้มากขึ้น ส่งผลทำให้ผู้ป่วยมีมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นและช่วยคงน้ำหนักตัวได้ ซึ่งปริมาณที่แนะนำคืออย่างน้อย 2 กรัม/วัน (2)
- ผู้ป่วยมะเร็งบริเวณศีรษะและลำคอ รวมถึงมะเร็งทางเดินอาหารส่วนต้น ที่จะได้รับการผ่าตัด พบว่า กรดไขมันโอเมกา-3 ร่วมกับสารอาหารที่มีฤทธิ์ต่อระบบภูมิคุ้มกัน (immunonutrients) ชนิดอื่นๆ สามารถช่วยลดการติดเชื้อหลังผ่าตัด ภาวะแทรกซ้อน และช่วยลดระยะเวลาการนอนรักษาในโรงพยาบาลได้ โดยแนะนำให้รับประทาน 5-7 วัน ก่อนและหลังผ่าตัด (7)
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยจะต้องได้รับพลังงานและโปรตีนที่เพียงพอกับร่างกายด้วย จึงจะเกิดประโยชน์และสามารถลดภาวะแทรกซ้อนได้
แหล่งอาหารที่พบ EPA และ DHA
EPA และ DHA นอกจากจะพบได้ในปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาบะ ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีนแล้ว ยังสามารถพบได้ในปลาไทยบางชนิด เช่น ปลาทู ปลาสวาย เป็นต้น
ตารางแสดงปริมาณกรดไขมันโอเมกา-3 ในแหล่งอาหารต่าง ๆ (8,9)
แหล่งอาหาร
(ปริมาณต่อ 100 กรัม)EPA (mg) DHA (mg) ปลาแซลมอน (หัว) 1,235 1,629 ปลาแซลมอน (เนื้อ) 1,008 944 ปลาซาบะ 866 1,682 ปลาแมคเคอเรล 770 1,246 ปลาทู 636 778 ปลาซาร์ดีน 473 509 ปลาสวาย 310 1,286
โดยทั่วไป สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา (AHA) แนะนำให้บริโภคปลาทะเลอย่างน้อย 2 ส่วน/สัปดาห์ หรือประมาณ 200 กรัม/สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
ในกรณีของภาวะผอมหนังหุ้มกระดูกจากมะเร็ง ถ้าต้องการเสริมกรดไขมันโอเมกา-3 ถ้าได้รับจากอาหารไม่เพียงพอ สามารถรับประทานอาหารทางการแพทย์ที่มีส่วนประกอบของ EPA ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มน้ำหนักและมวลกล้ามเนื้อในผู้ป่วยมะเร็งได้
ข้อควรระวัง
สำหรับผู้ป่วยที่รับประทานยาวาร์ฟาริน (warfarin) ไม่ควรเสริมกรดไขมันโอเมกา-3 เพราะจะทำให้เสริมการออกฤทธิ์ของยาวาร์ฟาริน (10) หน่วยงานความปลอดภัยอาหารแห่งสหภาพยุโรป (European Food Safety Authority; EFSA) ได้รายงานไว้ว่าสามารถบริโภค EPA และ DHA รวมกันได้ไม่เกิน 5 กรัม/วัน (11)
บทสรุป
กรดไขมันโอเมกา-3 สามารถช่วยลดภาวะการอักเสบ เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ และทำให้น้ำหนักตัวในผู้ป่วยมะเร็งคงที่ได้ โดยผู้ป่วยจะต้องได้รับพลังงานและโปรตีนที่เพียงพอด้วย เพื่อช่วยลดภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งโภชนาการที่ดีสามารถช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา และลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลได้