ธนภรณ์ ปานดวง – GoodHope​ Nutrition https://goodhopenutrition.com โภชนาการที่คุณวางใจ Thu, 06 Jul 2023 15:34:27 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.4.4 https://i0.wp.com/goodhopenutrition.com/wp-content/uploads/2020/09/cropped-goodhope-icon-app-01-1.png?fit=32%2C32&ssl=1 ธนภรณ์ ปานดวง – GoodHope​ Nutrition https://goodhopenutrition.com 32 32 176023460 น้ำตาลเทียมกับมะเร็ง https://goodhopenutrition.com/articles/%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%a5%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a1%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%a1%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b9%87%e0%b8%87/ Wed, 14 Oct 2020 12:09:00 +0000 https://goodhopenutrition.com/?p=1715 ความชื่นชอบของมนุษย์ที่มีต่ออาหารรสหวานนั้นมีมาตั้งแต่กำเนิด และมีการศึกษาได้พิสูจน์แล้วว่าทารกแรกเกิด ๆ จะชอบรสหวานมากว่ารสชาติพื้นฐานอื่น ๆ (​1​) ดังนั้นมนุษย์จึงเติมสารหวานลงในอาหารอยู่เสมอ สารให้ความหวานชนิดแรกที่ถูกบันทึกไว้ คือ น้ำผึ้ง ซึ่งใช้ในวัฒนธรรมโบราณของกรีกและจีน ต่อมาน้ำผึ้งถูกแทนที่ด้วยแซคคาโรส (saccharose) ซึ่งเป็นน้ำตาลทรายที่ทำมาจากอ้อย และน้ำตาลเทียมชนิดแรก คือ แซคคาริน (saccharin)  หรือ ขัณฑสกร ถูกสังเคราะห์ขึ้นในปี ค.ศ. 1879 โดย Remsen และ Fahlberg และยังเป็นที่ยอมรับกันมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำและเกิดภาวะการขาดแคลนน้ำตาลทราย (2​)

ผู้บริโภคบางคนมีความรู้สึกกังวล ว่าน้ำตาลเทียมมีอันตรายหรือมีผลข้างเคียงหรือไม่ เนื่องจากเคยได้ยินมาว่าน้ำตาลเทียมทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง วันนี้เรามาหาคำตอบกันค่ะว่า การรับประทานน้ำตาลเทียมเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง จริงหรือไม่ ?

น้ำตาลเทียมคืออะไร

น้ำตาลเทียม หรือสารให้ความหวานแทนน้ำตาล คือวัตถุเจือปนอาหารที่ใช้แทนน้ำตาล เพื่อทดแทนความหวาน น้ำตาลเทียมมักมีความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายหลายเท่า จึงสามารถใช้ในปริมาณที่น้อยกว่ามาก เพื่อสร้างความหวานในระดับเดียวกัน (3)

สารให้ความหวานแทนน้ำตาลมีอะไรบ้าง

สารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่มีใช้ในปัจจุบัน แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ สารให้ความหวานที่มีคุณค่าทางโภชนาการ (ให้พลังงานแก่ร่างกายแต่น้อยกว่าน้ำตาลปกติ) และชนิดที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ (ไม่ให้พลังงาน)

1. สารให้ความหวานที่มีคุณค่าทางโภชนาการ

สารให้ความหวานเหล่านี้ ได้แก่ น้ำตาลแอลกอฮอล์ เช่น ซอร์บิทอล (sorbitol), แมนนิทอล (mannitol), ไซลิทอล (xylitol), ไอโซมอลต์ (isomalt), มาลิทอล (malitol), แลคติทอล (lactitol), และทากาโลส (tagalose) ซึ่งสารให้ความหวานประเภทน้ำตาลแอลกอฮอล์นี้ จะให้พลังงานประมาณ 50-60% ของน้ำตาลปกติ หรือ 2 กิโลแคลอรี/กรัม

2. สารให้ความหวานที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ

สารให้ความหวานกลุ่มนี้ มี 8 ชนิด ที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ยอมรับให้ใช้ได้อย่างปลอดภัย โดยมีการกำหนดปริมาณสูงสุดที่สามารถรับประทานได้ต่อวัน เรียกว่า acceptable daily intake levels (ADI) ได้แก่ แซคคาริน (saccharin), แอสพาร์แทม (aspartame), ซูคราโลส (sucralose), อะซิซัลเฟม เค(acesulfame K), นีโอเทม (neotame), แอดแวนเทม (advantame), สตีเวียหรือสารสกัดจากหญ้าหวาน (stevia), และหล่อฮังก๊วย (luo han guo)

ชนิดของน้ำตาลเทียมความหวาน
(เท่าของน้ำตาล)
ADI*
mg/kg BW
การใช้ในการอาหารผลิตภัณฑ์ที่มีจำหน่าย ในประเทศไทย
Saccharin200-70015จำกัดปริมาณ < 12 mg / oz ในเครื่องดื่ม
จำกัด 20 mg/serving ใน แต่ละบรรจุภัณฑ์ หรือ 30 mg/serving ในอาหารแปรรูป
คงตัวต่อความร้อนสูง
Sweet’n low®
Aspartame20050 ใช้ได้ในอาหารทั่วไป
ไม่คงตัวต่อความร้อนสูง
Equal®
Slimma®
Sweet diet®
Lite Sugar®
Sucralose600ใช้ได้ในอาหารทั่วไป เช่นทำอาหาร หรือ ขนมอบ คงตัวต่อความร้อนสูงD-et®
Fitne sweet Sucralose ® Truslen®
Kontrol®
Lin Half BakerySugar®
Acesulfame K20015ใช้ได้ในอาหารทั่วไป ยกเว้น เนื้อสัตว์และสัตว์ปีก สามารถใช้ร่วมกับสารให้ความหวานชนิดอื่นๆ ได้ คงตัวต่อความร้อนสูงSweet Tasty®  
Neotame7,000-13,0000.3 ใช้ได้ในอาหารทั่วไป ยกเว้น เนื้อสัตว์และสัตว์ปีก และใช้ในการแปรรูปอาหาร
คงตัวต่อความร้อนสูง
Advantame20,00032.8ใช้ได้ในอาหารทั่วไป ยกเว้น เนื้อสัตว์และสัตว์ปีก
คงตัวต่อความร้อนสูง
Stevia200-4004ใช้ได้ในอาหารทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น ซีเรียล energy bars และเครื่องดื่ม รวมถึงใช้เป็นสารให้ความหวานบนโต๊ะอาหารได้Kontrol®
GreenSweet® PurVia®
Equal®
Fitne sweet Stevia®
BiorichSweet®
Luo han guo extract100-250ไม่มีการกำหนดค่า  สามารถใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร ใช้เป็นสารให้ความหวานบนโต๊ะอาหารได้ และสามารถใช้ร่วมกับสารให้ความหวานชนิดอื่นๆ ได้
*ADI = Acceptable daily intake = ปริมาณสูงสุดต่อวันที่สามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัยโดยไม่เกิดอันตรายใดๆ
ข้อมูลดัดแปลงจากเอกสารอ้างอิง 5, 15

น้ำตาลเทียมทำให้เกิดมะเร็งหรือไม่

ข้อมูลอัพเดท เดือนกรกฎาคม 2566
องค์การอนามัยโลกเตรียมบรรจุ แอสปาร์แทมเป็นสารที่อาจจะก่อมะเร็งในมนุษย์ หลังจากมีการทบทวนงานวิจัยใหม่

การศึกษาในช่วงแรกๆ พบว่าสารให้ความหวานแทนน้ำตาลบางชนิด เป็นสาเหตุการเกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้ (3,4​) อย่างไรก็ตาม จากผลการศึกษาในช่วงหลังกลับพบว่า ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าสารเหล่านี้ มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงมะเร็งในมนุษย์ (5) และยังมีการตั้งข้อสังเกตอีกว่าผลการทดลองในหนู ใช้ไม่ได้กับมนุษย์ เนื่องจากในมนุษย์และหนูทดลองมีกลไกการเกิดมะเร็งที่แตกต่างกัน (6,7​)

งานวิจัยของน้ำตาลเทียมแต่ละชนิดกับโรคมะเร็ง

ขัณฑสกร (Saccharin)

จากการศึกษาในหนูทดลอง พบว่าหนูที่ได้รับขัณฑสกรในปริมาณสูง สามารถทำให้เกิดโรคมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะได้ โดยเฉพาะหนูเพศผู้ (3,4​,6) แต่จากทบทวนการศึกษาวิจัยต่าง ๆ พบว่ายังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนที่บอกได้ว่าการบริโภคขัณฑสกรจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งในมนุษย์

อย่างไรก็ตามการใช้ขัณฑสกรในสตรีมีครรภ์ ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน เนื่องจากมีบางการศึกษาพบว่า ขัณฑสกรผ่านรกเข้า ไปในเนื้อเยื่อของทารกในครรภ์ได้ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการใช้ในสตรีมีครรภ์ (3,5)

ไซคลาเมต (Cyclamate)

มีการศึกษาวิจัยพบว่า การบริโภค ไซคลาเมต อาจเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะได้ในหนูทดลอง จากการวิจัยนั้นพบว่า
ไซคลาเมตอาจถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียในลำไส้ได้ เป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่งซึ่งจะตรวจพบได้ในปัสสาวะหลังจากการบริโภคไซคลาเมต (3,4​,8)

ในปี ค.ศ.1970 องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาจึงได้ประกาศห้ามใช้สารนี้เพื่อการบริโภค (9)

ต่อมาในปี ค.ศ. 1982 FDA และ WHO ได้ทำการศึกษาเพิ่มเติม และได้ข้อสรุปว่าไซคลาเมตไม่ใช่สารก่อมะเร็ง อย่างไรก็ตามไซคลาเมตยังเป็นสิ่งต้องห้ามในหลายๆ ประเทศ รวมไปถึงสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ(3,4​) สำหรับประเทศไทยนั้น ไซคลาเมตยังคงเป็นสารที่ห้ามผลิต ห้ามจำหน่าย นำเข้า หรือใช้ในอาหารตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522

แอสพาร์แทม (Aspartame)

การศึกษาในปี ค.ศ. 2005 พบว่า แอสพาร์แทม (ในปริมาณที่สูงมาก) อาจทำให้เกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองและมะเร็งเม็ดเลือดขาวในหนู (10) แต่หลังจากตรวจสอบการศึกษาแล้ว FDA ได้พบข้อบกพร่องหลายประการ (11) ในปี ค.ศ. 2006 สถาบันมะเร็งแห่งชาติ (National Cancer Institute, NCI) ได้ตรวจสอบข้อมูลในมนุษย์ จาก NIH-AARP Diet and Health Study ของผู้เกษียณอายุจำนวนกว่าครึ่งล้านคน พบว่า การบริโภคเครื่องดื่มที่ผสมแอสพาร์แทม ไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งทั้ง 3 ชนิด คือ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาว และมะเร็งสมองแต่อย่างใด (12) ทำให้สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาออกมาประกาศข้อสรุปว่าไม่พบความสัมพันธ์ระหว่าง แอสพาร์แทม และการเกิดมะเร็งชนิดใด ๆ ในมนุษย์ (13)

ซูคราโลส (Sucralose)

ซูคราโลส ได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวางและองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้ทบทวนการศึกษาทางด้านความปลอดภัยมากกว่า 110 การศึกษา เพื่อสนับสนุนการอนุมัติการใช้ซูคราโลส เป็นสารให้ความหวานในอาหารทั่วไป

ในปี ค.ศ. 2016 มีการรายงานว่ามีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นของเนื้องอกในเม็ดเลือดในหนูตัวผู้ที่บริโภคซูคราโลส ในปริมาณสูง (14) แต่หลังจากตรวจสอบการศึกษาแล้ว FDA ได้พบข้อบกพร่องของการศึกษาดังกล่าวหลายประการ

อะซิซัลเฟม เค (Acesulfame K)

องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา สรุปข้อมูลที่มีการทดลองทั้งในคนและสัตว์ทดลอง มากกว่า 90 การศึกษา ยังไม่พบอันตรายใด ๆ สารอะซิซัลเฟม เค สามารถใช้ได้ในสตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร ผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้ป่วยโรคฟีนิลคีโตนูเรีย (phenylketonuria) (15)

นีโอเทม (Neotame) 

จากข้อสรุปขององค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา โดยการทบทวนข้อมูลการทดลองทั้งในคนและสัตว์มากกว่า 113 การศึกษา ไม่พบอันตรายใด ๆ ในคนที่ได้รับนีโอเทม (15)

แอดแวนเทม (Advantame)

จากข้อสรุปขององค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาโดยสรุปจากข้อมูลที่มีการทดลองทั้งในคนและสัตว์ทดลองมากถึง 37 การศึกษา ไม่พบอันตรายใด ๆ ในคนที่ได้รับแอดแวนเทม (15)

สารสกัดจากหญ้าหวาน (Steviol glycosides)

สารสกัดจากหญ้าหวาน (steviol glycosides)  เป็นสารสกัดจากใบของพืช Stevia rebaudiana Bertoni  (ไม่ควรสับสนกับใบหญ้าหวาน) หญ้าหวานได้ผ่านการรับรองโดย FDA ว่าสามารถเติมลงในอาหารได้อย่างปลอดภัย (generally recognized as safe; GRAS)  ในปี ค.ศ. 2008

นอกจากจะไม่พบว่าสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งแล้ว นักวิจัยยังพบว่า อนุพันธ์ของสตีวิออลไกลโคไซด์ (steviol glycoside derivatives) มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (16) และเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร (17,18) อย่างไรก็ตามงานวิจัยเกี่ยวกับหญ้าหวานยังมีอยู่อย่างจำกัด และจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม

หล่อฮังก๊วย (Luo han guo)

Mogrosides (triterpene glycosides) เป็นสารให้ความหวานที่สกัดได้จากผลหล่อฮังก๊วย (Siraitia grosvenorii) ซึ่งเป็นผลไม้ในประเทศจีนและมักใช้เป็นยาพื้นบ้าน สารสกัดจากหล่อฮังก๊วยได้รับการรับรองจาก FDA ว่าสามารถเติมลงไปในอาหารได้อย่างปลอดภัย (GRAS) เช่นเดียวกับหญ้าหวาน

บทสรุป

การใช้น้ำตาลเทียมทั้ง 8 ชนิดที่ได้รับการรับรองจาก FDA ในปัจจุบันพบว่าสามารถใช้เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลได้อย่างปลอดภัย ไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง อย่างไรก็ตามควรรับประทานในปริมาณไม่เกินค่า ADI ที่กําหนดสําหรับนน้ำตาลเทียมแต่ละชนิด เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายต่อสุขภาพ

]]>
1715
ชาร้อนเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งหลอดอาหาร https://goodhopenutrition.com/articles/%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b8%a1%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b9%87%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%ad%e0%b8%94%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%a3/ Sat, 29 Aug 2020 10:38:41 +0000 https://goodhopenutrition.com/?p=1189 ชาเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่นิยมบริโภคทั่วโลก ซึ่งได้มาจากยอดอ่อน ใบ หรือก้านของต้นชามีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Camellia sinensis โดยประเภทของชาขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการแปรรูป เช่น ชาขาว ชาเขียว ชาอู่หลง ชาดำ ชาแดง จากการรวบรวมศึกษาพบว่า การบริโภคชาส่งผลดีต่อสุขภาพหลายประการเช่น ประโยชน์ในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน และ สารในกลุ่มสารประกอบพอลิฟีนอล (polyphenolic compounds) โดยเฉพาะสารคาเทชิน (catechins) ในชาเขียว และสารทีเอฟลาวิน (theaflavins) ในชาดำสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งได้ (​1​) อย่างไรก็ตามถ้าหากเราดื่มชาที่ร้อนเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลอดอาหาร

ชาร้อนจัดเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลอดอาหาร

จากการทบทวนงานวิจัยอย่างเป็นระบบ (systematic review) พบว่า การดื่มชามีความสัมพันธ์น้อยกับการเกิดมะเร็งหลอดอาหาร แต่ในกรณีที่บริโภคชาร้อนในปริมาณมาก กลับเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลอดอาหารอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (2​) งานวิจัยเชิงวิเคราะห์ ในช่วงปี พ.ศ. 2547 ถึงปี พ.ศ. 2560 ติดตามอาสาสมัครจำนวน 50,045 คน ที่มีอายุระหว่าง 40 ถึง 75 ปี เป็นระยะเวลา 10 ปี พบว่าผู้ที่ชอบดื่มชาร้อนจัด (อุณหภูมิสูงกว่า 60 °C หรือ 140 °F) ในปริมาณมากกว่า 700 มิลลิลิตรต่อวัน (ประมาณ 2 แก้วใหญ่) มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลอดอาหารชนิด squamous cell carcinoma เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 90  และยังมีงานวิจัยพบว่าการดื่มชาร้อนอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาน้อยกว่า 2 นาที เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งหลอดอาหารได้เช่นกัน (​3​)

ทำไมการดื่มชาร้อนจึงทำให้เกิดมะเร็งหลอดอาหาร

กลไกการเกิดมะเร็งหลอดอาหารจากการดื่มชาร้อน อาจมาจากอุณหภูมิที่สูงจนมีการทำลายเยื่อบุหลอดอาหารโดยตรง ทำให้สารก่อมะเร็งเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น สารก่อมะเร็งเหล่านี้ ได้แก่ แอลกอฮอล์ บุหรี่ N-nitroso compounds และ polycyclic aromatic hydrocarbons (PAHs) (​4) นอกจากนี้ยังทำให้เกิดกระบวนการอักเสบในร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับดีเอ็นเอโดยตรงได้ (​5​) สำหรับกลไกที่แน่ชัดของความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มชาร้อนและการเกิดมะเร็งหลอดอาหารยังจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม

การดื่มเครื่องดื่มร้อนประเภทอื่น ๆ จะเสี่ยงไหม

นอกจากชาร้อน การดื่มเครื่องดื่มที่ร้อนจัดเช่น น้ำร้อน กาแฟร้อน และช็อคโกแลตร้อนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลอดอาหารได้ (6) โดยพบว่าอุณหภูมิของเครื่องดื่มที่มากกว่า 65 – 70 °C ส่งผลต่อการเกิดมะเร็งหลอดอาหาร (​7,8​) นอกจากนี้ภาชนะพลาสติกและโฟมที่ใส่ของร้อน เมื่อถูกความร้อนสูงๆ จะทำให้สารก่อมะเร็งออกมาปนเปื้อนในอาหาร เช่น styrene monomer ในแก้วที่ใส่กาแฟร้อน และ vinyl chloride monomer ก็มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งเช่นกัน (​9​)

บทสรุป

สำหรับการดื่มชาร้อนควรจะรอจนกว่าเครื่องดื่มนั้นจะเย็นลง จนอุณหภูมิประมาณ 55 – 60 °C  ก่อนจึงดื่ม ผู้ที่ชอบดื่มชาร้อนควรลดปัจจัยเสี่ยงอื่นที่เพิ่มการเกิดมะเร็ง โดยลดการรับประทานอาหารบางชนิดที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น เลิกสูบบุหรี่ จำกัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการเปลี่ยนภาชนะเป็นแก้วแทนการใช้พลาสติกหรือโฟมในการใส่ของร้อน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลอดอาหารได้เช่นกัน

]]>
1189